วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ปิงปอง เป็นกีฬาของคนที่ต้องมีความเชื่อมันในตนเอง



กีฬาปิงปองเป็นกีฬาประเภทบุคคล ดังนั้นความสำเร็จทั้งหมดจึงอยู่ตัวคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น  เมื่อคุณอยู่ในสนาม ไม่มีใครจะช่วยเหลือคุณได้ คุณต้องใช้ศักยภาพที่มีอยู่ในตัวคุณทั้งหมด  พ่อ แม่ พี่ น้อง ก็ช่วยคุณไม่ได้ (ยกเว้นการให้กำลังใจ แต่อย่าทำร้ายจิตใจ เมื่อบุตรหลานของคุณแพ้มาจากการแข่งขัน  เพราะ ชนะ หรือ แพ้ คือเรื่องปกติของการเล่นกีฬาเพื่อการแข่งขัน )
ผู้ฝึกสอน ก็ช่วยเหลือคุณไม่ได้ ถึงแม้จะมีเวลาเพียง 1 นาที เพื่อแนะนำให้คุณในเกมส์การแข่งขันก็ตามเถอะ  เพราะที่เหลือ ต้องมาจากความสามารถของตัวคุณเองทั้งนั้น
นักกีฬา บางคนขาดผู้ฝึกสอนไม่ได้  หากขาดเมื่อไหร่ เหมือนคนเล่นปิงปองไม่เป็น แก้เกมส์เองไม่เป็น กระตุ้นตัวเองไม่ได้ ทำอะไรไม่ถูกไปหมด  แล้วหากอนาคตเมื่อคุณไม่มีผู้ฝึกสอนอยู่ด้วย คุณจะทำอย่างไร?
ดังนั้น หากคุณรักที่จะเล่นกีฬาปิงปอง และ อยากจะก้าวหน้าในกีฬาประเภทนี้ คุณต้อง มีความเชื่อมันในตนเอง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป  
( แต่ต้องระวังนะครับ  ความเชื่อมั่นในตนเอง อย่าให้กลายเป็นความ ก้าวร้าว ไม่เชื่อฟังผู้ฝึกสอน  พอติดทีมชาติ หรือฝีมือพัฒนาขึ้นก็นึกว่าตนเองเก่งที่สุด ใครแนะนำอะไรก็ไม่ฟัง ผู้ฝึกสอนที่เคยสั่งสอนอบรมมา ก็เริ่มไม่เชื่อ ไม่เคารพ  นักกีฬาแบบนี้ถือว่าใช้ไม่ได้นะครับ )

บทความข้างล่างนี้ เห็นว่าเป็นบทความที่ดี  สามารถนำมาพัฒนาให้ตนเองมีความเชื่อมั่นในตนเองได้  สามารถนำมาประยุกษ์ปรับใช้กับการฝึกกีฬาได้  จึงคัดลอกมาให้ลองอ่านดูครับ 

วิธีการสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง
1. พึ่งตนเอง  " อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ " หมั่นฝึกตนช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด ก่อนจะร้องขอให้ผู้อื่นช่วย เพราะหากเราไม่ช่วยตนเองแล้วยากที่ใครจะมาช่วยเรา และจะเป็นการ ตัดโอกาสและความก้าวหน้าของตนเองอย่างน่าเสียดาย เพราะไม่ได้พัฒนาความสามารถอย่างเต็มที่ ดังนั้นจงช่วยตนเองอย่างเต็มความสามารถ แล้วคุณจะพบว่าคุณสามารถทำได้ด้วยตนเอง
2. รู้จักตนเอง  พยายามรู้จักตนเองให้ดีที่สุดด้วยการสำรวจตัวเองว่า มีจุดดี จุดด้อย จุดเด่นอะไรบ้าง จะปรับจุดด้อยให้ดีขึ้นได้อย่างไร ใช้จุดเด่นของตนให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นได้อย่างไร และยอมรับตนเองในฐานะมนุษย์ ซึ่งมีความสามารถ พลัง ค้นให้พบ หาให้เจอ พลังที่ซุกซ่อนอยู่ภายในตัวและนำมาใช้ให้เต็มที่ พร้อมกันนั้นก็ยอมรับจุดอ่อนที่มีหลังจากได้พยายามปรับแล้ว เพราะทุกคนก็ย่อมมีจุดแข็งจุดอ่อน " นี่คือมนุษย์ "
3. ศรัทธาในตนเอง  นับถือตนเองเชื่อในความสามารถของตนเอง ไม่ดูถูกเหยียดหยามตนเอง เพราะคุณจะเรียกศรัทธาจากผู้อื่นได้ก็ต่อเมื่อคุณศรัทธาเชื่อถือตนเอง ดังคำพูดที่ว่า  " คุณทำได้หากคุณเชื่อว่าคุณสามารถทำได้ " ทุกข์ สุข อยู่ที่ความคิดของคุณเอง " ไม่มีใครจะนำความสุขความสำเร็จมาให้คุณนอกจากตัวคุณเอง" 

4. กำจัดความกลัว  ความกลัวเป็นอุปสรรค์ต่อความสำเร็จและทำให้ไม่กล้าทำอะไร เพราะกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีจะผิดพลาดแต่คนที่ไม่เคยทำอะไรเลย ก็จะไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้น ส่วนคนที่ทำงาน โอกาสสำเร็จและผิดพลาดก็ย่อมจะมีบ้างเป็นธรรมดาแต่หากทำดีที่สุดแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องยอมรับและไม่กลัวที่จะปรับปรุงให้ดีขึ้น พึงคิดเสมอว่า " ทำไม่ดี ไม่มี มีแต่ยังไม่ได้ทำหรือยังทำดีไม่มากพอ " การลงมือทำเป็นเรื่องสำคัญ อย่าได้กลัวที่จะลงมือทำ  ดังที่ว่า

อย่าเพียงแต่ดู     จงลงมือทำ
อย่าเพียงแต่พูด    จงลงมือทำ
อย่าเพียงแต่กลัว    จงลงมือทำ
ลงมือทำทันที     เดี๋ยวนี้เท่านั้น 

และหากยังคงมีจิตใจกลัวและหวาดหวั่นต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ ก็ให้บอกกับตนเองว่า

คนที่ดีที่สุด     ยังไม่เกิดขึ้น
คนเก่งที่สุด     ยังไม่เกิดขึ้น 
แต่ ฉันนี่แหละคือคนเก่ง คนที่ดีที่สุดที่จะต้องสร้างสรรค์ และจัดการทำให้ได้  ดังนั้น จงขจัดความกลัว และเพิ่มความกล้า ให้คุณมีก้าวแรกเกิดขึ้นให้ได้ และก้าวต่อไปไม่ยาก ดังที่ว่า " ร้อยลี้พันลี้ ไม่สำคัญเท่าลี้แรก " 

5. การมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน  เมื่อจะทำสิ่งใดให้ใส่ใจเอาใจจดจ่อกับสิ่งที่ทำ รวมพลังความคิดลงสู่การกระทำในขณะนั้นไม่ห่วงหน้า พะวงหลัง หรือยึดติดกับอดีต กังวลกับอนาคต แต่มุ่งใจให้เป็นหนึ่งเดียวกับเวลาปัจจุบัน ทำเรื่องใดก็สนใจทุ่มเท มีสมาธิและจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นดังที่ว่า " ถอดหัวใจให้สิ่งที่ทำ " ณ เวลานั้น

6. คิดในทางบวก  พยายามคิดในเรื่องที่ดีที่ทำให้เป็นสุขเกิดพลังใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นให้คิดว่าเป็นประสบการณ์เป็นสิ่งที่ดี ที่ทำให้เราเติบโตขึ้น แกร่งขึ้น และเพิ่มพูนประสบการณ์ ตัวอย่าง เพลงของเบิร์ด " ผิดเป็นครู " อกหักทำให้รู้จักชีวิตมากขึ้น ให้หัดคิดเปลี่ยนปัญหาอุปสรรคให้กลายเป็นความสำเร็จมองวิกฤตให้เป็นโอกาสและ เปลี่ยนปัญหาให้เป็นการพัฒนา

7. ปลูกฝังอุปนิสัยที่ดี  การที่เราจะมีการเชื่อมั่นศรัทธาในตนเองได้ ก็ต้องฝึกฝน เสริมสร้างและสั่งสมนิสัยที่ดี เช่น เป็นผู้มีความหวังเสมอ พรุ่งนี้ยังมีวันใหม่ให้ก้าวเดิน ความไม่กลัวต่อความลำบาก จิตใจเข้มแข็ง ต่อสู้ กล้าหาญ อดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เพียรพยายามอย่างสม่ำเสมอ ไม่ประมาท เกิดเป็นคนไม่ควรขลาดกลัว จงเก่งกาจ กล้าหาญชาญชัย

ขอฝากความคิดสะกิดใจเพื่อเพิ่มพลังสู่ความสำเร็จ
" ถ้าคุณคิดว่าคุณพ่ายแพ้ คุณจะพ่ายแพ้ ถ้าคุณคิดว่า คุณไม่กล้า คุณจะไม่กล้า ถ้าคุณต้องการที่จะชนะ แต่คุณคิดว่าคุณไม่อาจชนะ เกือบจะ แน่นอนว่าคุณจะไม่ชนะ ถ้าคุณคิดว่าคุณย่อยยับคุณจะย่อยยับ " เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ความสำเร็จเริ่มต้นด้วยความต้องการของคนผู้นั้นทั้งหมด มันขึ้นอยู่กับท่าทีของจิตใจ ถ้าคุณคิดว่าคุณแพ้ยับเยิน คุณจะเป็นเช่นนั้น คุณจะต้องคิดให้สูงเพื่อที่จะยกตัวของคุณให้สูงขึ้น

คุณจะต้องเชื่อถือในตัวของคุณเองก่อน ก่อนที่คุณจะชนะ รางวัลสงครามชีวิตมิได้อยู่ที่ผู้ที่แข็งแรง หรือเร็วกว่าเสมอไปแต่ในที่สุดไม่เร็วก็ช้า คนที่ชนะคือคนที่คิดว่าเขาทำได้...เท่านั้น

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

นักกีฬากับความเป็นมืออาชีพ
สมาธิ เป็นสิ่งที่นักกีฬาเทเบิลเทนนิสจำเป็นต้องมีในการเล่นปิงปอง โดยเฉพาะในการแข่งขันจำเป็นต้องใช้สมาธิในการเล่นสูงมาก เนื่องจากในเกมส์การแข่งขันจะมีแรงกดดันต่างๆ เกิดขึ้น หลากหลายรูปแบบ  ดังนั้นหากนักกีฬาคนไหนมีสมาธิดีกว่า โอกาสที่จะได้รับชัยชนะก็มีมากขึ้นตามมาด้วย

วิธีการฝึกสมาธิแบบง่ายๆ และสามารถทำควบคู่ไปในขณะฝึกซ้อมได้ด้วย  ยกตัวอย่างเช่น  ผู้เล่นใหม่ การเดาะลูกบนหน้าไม้ ให้นานที่สุด จะกำหนดเป้าหมายเป็นจำนวนครั้งเอาไว้ด้วย  แล้วพยายามเดาะลูกให้ได้ตามเป้าหมาย  ก็ถือเป็นการฝึกสมาธิแบบหนึ่งในกีฬาปิงปองแล้ว

ส่วนผู้เล่นที่เริ่มฝึกบนโต๊ะแล้ว  การตีโต้กันให้ได้นานที่สุด หรือ กำหนดเป้าหมายเป็นจำนวนครั้ง แล้วพยายามตีให้ได้โดยไม่เสีย หากตีเสียเริ่มใหม่  ก็ถือเป็นอีกวิธีในการฝึกสมาธิควบคู่กับการฝึกซ้อมปิงปอง ซึ่งได้ประโยชน์ไปพร้อมๆ กัน  โดยที่ใช้สายตาจ้องมองลูกปิงปองอยู่ตลอดเวลา  ฝึกบ่อยๆ ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็จะกลายเป็นความเคยชินครับ 

TRACTIC ในกีฬาปิงปอง

"แทกติก หรือ กลยุทธ์"  ในกีฬาปิงปอง คืออะไร  

ยกตัวอย่างเช่น นักกีฬาบางคนอาจจะเคยสังเกตุ  เวลาไปเจอผู้เล่นบางคน เวลาท๊อปมาหาเรา เวลาเราบล๊อกจะรู้สึกว่า หมุนมาก รับไม่อยู่ หรือ ตกลงโต๊ะแล้วเลี้ยวออก ซ้ายบ้าง ขวาบ้าง  หรือ หมุนมากบ้าง น้อยบ้าง  ทำให้เราบล๊อกลำบากมากขึ้น

หรือ เวลารับลูกเสริฟแล้ว รับออกบ้าง รับติดเน็ตบ้าง  หรืออ่านลูกเสริฟไม่ออกบ้าง  

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ล้วนเป็น TRACTIC เฉพาะตัวของผู้เล่นทั้งนั้น ซึ่ง TRACTIC พวกนี้ จะซ่อนอยู่ใน การเสริฟ , การรับลูกเสริฟ , การบุก , การบล๊อก ต่างๆ   ซึ่งต้องเกิดจากการฝึกฝนซ้ำแล้ว ซ้ำอีก จนเกิดเป็นความชำนาญ ไม่ตีเสียเองแบบง่าย ๆ
ในบางครั้ง เราอาจจะเห็นนักกีฬาตีสวยงาม มีชั้นเชิงเยอะ ท่าทางแปลกๆ เวลาตีกับเราแล้วเรารับยาก  แต่.....เดี๋ยวลงบ้าง ไม่ลงบ้าง  แบบนี้ไม่ใช่ของจริงนะครับ  เพราะเดี๋ยวตีลงบ้าง ไม่ลงบ้าง  หนักไปทางมั่วซะมากกว่า  ของจริง ต้องมีเปอร์เซ็นต์ตีลงโต๊ะ 90% ขึ้นไป นั้นจึงจะเรียกว่า ของจริง ครับ 

การจะฝึก TRACTIC ต่างๆ (ของจริง) เหล่านี้ ฝึกฝนอย่างไร?

นักกีฬาทุกคน คงทราบว่า ปิงปองมีเบสิคพื้นฐานอยู่  ยกตัวอย่างเช่น เบสิคพื้นฐานในการตีลูกท๊อปสปิน คือการลากไม้จากล่างขึ้นบน และ สัมผัสถูกลูกที่บริเวณหลังลูก  เมื่อเราเข้าใจตรงนี้แล้ว และฝึกฝนการตีลูกท๊อปแบบนี้จนชำนาญแล้ว  step ต่อไป ก็คือ การฝึกตีลูกท๊อปโดยตีบริเวณข้างลูกปิงปอง ทั้งด้านซ้าย และ ด้านขวาให้เกิดความชำนาญ  เท่านี้นักกีฬาก็จะมี TRACTIC ในการตีลูกท๊อปได้มากขึ้นถึง 3 แบบแล้ว  แทนที่จะฝึกท๊อปแต่ด้านหลังลูกเพียงตำแหน่งเดียว  เวลาอยู่ในการแข่งขันจริง นักกีฬาที่มีลูกท๊อปที่แพรวพราว ตีด้านหลังลูกแบบปกติก็ได้  ก็ยังตีข้างลูกด้านนอกก็ได้  หรือ ตีข้างลูกด้านในก็ได้  นั้นจึงเป็น TRACTIC ขั้นสูง หรือ ชั้นเชิงในกีฬาปิงปองที่นักกีฬาปิงปองทุกคนควรจะต้องฝึกไว้นะครับ 
นี่เป็นเพียง 1 ตัวอย่างที่ยกมาให้ดู  ซึ่งการฝึกด้านเทคนิค ก็คือ การฝึกตีลูกในตำแหน่งต่างๆ เพิ่มขึ้นจากตำแหน่งเบสิค โดยจะต้องฝึกสลับไปสลับมา อย่าตีลูกเพียงตำแหน่งเดียว ในเมื่อเสียเวลาฝึกแล้ว ต้องตีลูกในตำแหน่งต่างๆ ให้ได้ และ เกิดเป็นความชำนาญ ซึ่งผลลัพธ์จากความชำนาญก็คือ การตีลูกไม่ตีเสียเอง นั้นเอง  จากนั้นคุณจะกลายเป็นนักกีฬาที่มี  มี TRACTIC การเล่นสูง ซึ่งเป็นการเล่นแบบขั้นสูงที่นักกีฬาทุกคนจำเป็นต้องมี  
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ มาจากการฝึกซ้อมที่ทุ่มเท เสียสละ  ไม่ใช่เห็นใครตีสวยๆ ก็ไปเรียนแบบท่าทางเขามา แต่ไม่ได้เกิดจากการฝึกฝนให้เกิดจนเป็นความชำนาญ ก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไร  เมื่อเราเรียนแบบเขาแล้ว อย่าลืมเรี่ยนแบบเรื่องการฝึกซ้อมอย่างจริงจังด้วยนะครับ 

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

 แบบฝึกสำหรับเข้าแข่งขัน

ก่อนอื่น  สำหรับนักกีฬาหรือผู้ฝึกสอนที่มีเป้าในการฝึกนักกีฬาเพื่อความเป็นเลิศ  ผู้เขียนขอแนะนำให้ดูภาพการแข่งขันของนักกีฬาทั้งสองท่านนี้ก่อน   นักกีฬาทั้งสองท่านนี้เป็นนักกีฬาจีน  คนหนึ่งชื่อ Fan Zhendong  ถนัดมือขวา อายุ 16  ปี  และ  Zhou Yu  นักกีฬาถนัดมือซ้าย
นักกีฬาทั้งสองคนนี้เป็นสายเลือดใหม่ของวงการเทเบิลเทนนิสของประเทศจีน  รวมทั้งเป็นสไตล์การเล่นแบบใหม่อีกด้วย  โดย Fan Zhendong คนนี้  สามารถเอาชนะนักกีฬารุ่นพี่ที่เป็นทั้งแชมป์โลก , แชมป์โอลิมปิค ของประเทศจีนได้แล้ว  ทั้งๆ ที่ยังอายุแค่ 16 ปีเอง(ณ ปีพ.ศ.2556)  !!!   ซึ่งนักกีฬาทั้งสองคนเป็นนักกีฬาที่มีอนาคตไกล  อีกคนหนึ่งถนัดมือขวา และ อีกคนถนัดมือซ้าย  ดังนั้นเราจึงสามารถศึกษาวิธีการเล่นของนักกีฬาถนัดมือขวาและมือซ้ายไปได้พร้อมกันครับ 
  

 ภาพการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศชายเดี่ยว รายการ Polish Open เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา

หลักการในการฝึกเพื่อเข้าสู่การแข่งขัน  >>>  แข่งให้เหมือนซ้อม  และ  ซ้อมให้เหมือนแข่ง
  ขั้นตอนต่อไปก็ต้องซ้อมเพื่อที่จะได้นำไปใช้ในการแข่งขัน  เพราะหากเราไม่ได้ฝึกซ้อมมาแล้วจะนำไปใช้ในการแข่งขันได้อย่างไร  ผมจะขอยกตัวอย่างบางเหตุการณ์ที่ผมได้พบมาในบ้านเราก็คือ  ช่วงพักระหว่างแข่ง  ผู้ฝึกสอนมองจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ออกก็ได้แก้เกมส์ให้กับนักกีฬาไป โดยให้ตีไปตามที่ได้บอก  แต่ทางด้านนักกีฬาไม่เคยได้ฝึกซ้อมลูกดังกล่าวมาเลย ก็เลยตีตามที่โค้ชสั่งไม่ได้  พอหมดเกมส์เด็กคนดังกล่าวแข่งขันแพ้  ผู้ฝึกสอนก็โทษไปที่เด็กว่าทำไมไม่ตีไปตามที่ได้แก้เกมส์มา  ถามผู้อ่านว่า.....เหตุการณ์แบบนี้ต้องโทษใครครับ ระหว่างนักกีฬา กับ ผู้ฝึกสอน?
ดังนั้น ผู้ฝึกสอนจึงมีความจำเป็นที่จะต้องฝึกนักกีฬาในทุกสิ่งทุกอย่างที่จะต้องนำไปใช้ในการแข่งขันให้ได้ทั้งหมด  เพราะหากฝึกไม่ครบถ้วน นั่นก็จะคือจุดอ่อนของนักกีฬาของเราในการแข่งขันนั่นเอง

แผนภาพต่อไปนี้เป็นลำดับในการเล่นปิงปองจริงที่เกิดขึ้นจริงในการแข่งขัน  เพื่อนำมาแยกออกเป็นลำดับการฝึกซ้อมที่นักกีฬาพึงจะต้องทำการฝึกซ้อมเพื่อเตรียมเข้าสู่การแข่งขัน   

1.  หลังจากการเสริฟ

   

2.  หลังจากการรับลูกเสริฟ
   


3.  ในกรณีที่หลังจากเสริฟและรับลูกเสริฟแล้ว  หากเราไม่สามารถ บุก ตั้งรับ หรือ สวนกลับ ได้  ให้วางลูก แล้ว.....ให้เตรียม  บุก ,  ตั้งรับ  และ สวนกลับ เช่นเดียวกัน
   

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

การบุก OFFENSIVE



เมื่อลูกปิงปอง เด้งออกมานอกโต๊ะ หรือ สูงกว่าเน็ตมาก

ต้อง..... บุก ทุก ลูก !!!

โดยทั่วไป การบุกในกีฬาปิงปองระดับสูง จะให้ลูก TOP SPIN ในการโจมตีใส่คู่ต่อสู้  ซึ่งคุณสมบัติของลูก TOP SPIN ก็คือลูกที่มีลักษณะหมุนไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการใช้ลูกท๊อปสปินนี้จะใช้ในจังหวะที่ลูกลอยมาตามปกติ สูงกว่าเน็ตไม่มาก  แต่ก็มืบางจังหวะเช่น ลูกมาสูงกว่าเน็ตมาก หรือลอยสูงอยู่หน้าเน็ต ผู้เล่นก็สามารถใช้ลูกตบ (SMASH) ซึ่งจะเป็นการตีด้วยการออกแรงกระแทกลูกปิงปอง ซึ่งจะต่างจากลูกท๊อปสปินคือ ลูกตบจะไม่ให้ความหมุน แต่จะให้ความเร็วสูงกว่าลูกท๊อปสปิน

การตัดสินใจในการบุกแบบ TOP SPIN แบบไหน ?

 
หากลูกปิงปองลอยออกนอกโต๊ะ  กระดอนต่ำกว่าความสูงของเน็ต  >>>  ให้ใช้ลูก TOP SPIN แบบเส้นโค้ง
หากลูกปิงปองลอยออกนอกโต๊ะ  กระดอนสูงกว่าความสูงของเน็ต  >>>  ให้ใช้ลูก TOP SPIN แบบเส้นตรง





แล้วจะฝึกบุกไปทิศทางใดบ้าง  ?

สำหรับทิศทางในการบุกนั้น  มีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่งที่นักกีฬาจะต้องฝึกบุกไปให้ได้ทุกทิศทุกทางบนโต๊ะปิงปอง รวมทั้งต้องบุกให้ได้ทั้งการบุกเป็นเส้นทะแยง และ บุกเป็นเส้นตรง  เพราะยิ่งนักกีฬาสามารถบุกได้ทุกทิศทาง นั่นหมายถึงนักกีฬามีความหลากหลายในการบุก และเมื่อนำไปใช้ในการแข่งขันย่อมจะทำให้เกิดความได้เปรียบกว่านักกีฬาที่บุกได้ทิศทางน้อยกว่า
โดยทั่วไปทิศทางการบุก แบ่งออกเป็น 2 ทิศทาง ดังนี้
1. บุกออกด้านหลังของโต๊ะปิงปอง
2. บุกออกด้านข้างของโต๊ะปิงปอง 



และเมื่อฝึกบุกได้ทั้ง 2 ทิศทางข้างต้นแล้ว ให้ฝึกเพิ่มอีก 1 ทิศทาง ก็คือทิศทางที่ 3
3. บุกใส่กลางท่อนแขน ระหว่างข้อมือ ถึง ข้อศอก

 

หลังจากที่นักกีฬาฝึกการบุก 3 ทิศทางนี้ได้แล้ว จึงขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งานในการแข่งขันกับคู่แข่งขัน  ซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะของเกมส์ในขณะนั้นว่า เราจะเลือกการบุกไปยังทิศทางใด   เช่น เมื่อคู่แข่งมีการตั้งรับทั้งด้านแบ๊คแฮนด์ดี  บุกไปเท่าไหร่ก็บล๊อกได้หมด  ดังนั้นในลูกต่อไปๆ ที่จะบุกหากจะบุกเข้าด้านแบ๊คแฮนด์ จึงต้องบุกไปที่กลางท่อนแขนระหว่างข้อมือกับข้อศอก เพราะจะทำให้คู่ต่อสู้บล๊อกลูกด้วยความลำบากมากขึ้น   หรือ นักกีฬาบล๊อกทั้งด้านโฟร์แฮนด์และแบ๊คแฮนด์ได้ดี  ดังนั้นจึงควรจะต้องบุกด้วยมุมที่กว้างขึ้น โดยพยายามบุกออกด้านข้างของโต๊ะให้มากขึ้น ก็เพื่อสร้างความลำบากในการบล๊อกมากขึ้นเช่นกัน


 คุณสมบัติของการบุกด้วยลูก TOP SPIN ที่ดี ?

1. แน่นอนว่า ข้อแรก.....ต้องไม่ตีเสียไปเองซะก่อน

2. ต้องตีลูกให้มีประสิทธิภาพ  ซึ่งประสิทธิภาพของลูก TOP SPIN ได้แก่  ตีลูกให้หมุน , ตีให้เร็ว , ตีให้ชัวร์ , ตีให้ต่อเนื่อง  เพราะ หากตีไปไม่มีประสิทธิภาพคู่ต่อสู้ก็สามารถที่ตอบโต้กลับมาได้อย่างง่ายดาย

3. ตีให้เลียดเน็ตด้วยนะครับ  เพราะหาก TOP ไปสูง จะโดนคู่ต่อสู้โจมตีกลับได้ทันที

 การวางลูก TRACTIC


ชั้นเชิง หรือ กลยุทธ์ หรือ ความเก๋า หรือ อะไรก็ตาม แล้วแต่จะเรียกกันในเกมส์กีฬาปิงปองนั้น  ในหัวข้อนี้จะขอทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อน ก็คือ....... ลูกที่จะเล่นต่อไป หลังจากการเสริฟ หรือ การรับลูกเสริฟ แล้วนะครับ
ซึ่งหลังจากนี้แล้วจะเป็นการชิงไหวชิงพริบกัน เพื่อทำให้เราเป็นฝ่ายได้คะแนน หรือ ป้องกันไม่ให้คู่ต่อสู้ได้คะแนน  ซึ่งจะแบ่งออกเป็น TRACTIC ใหญ่ๆ ได้  3  ประการดังนี้

TRACTIC ที่ 1  การวางลูกสั้นในโต๊ะ ด้วยลูกตัดสั้นๆ เป็นหลัก
มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันมิให้คู่ต่อเป็นฝ่ายบุกโจมตีเรา  และในทำนองเดียวกัน  เราก็เป็นฝ่ายที่จะพยายามฉกฉวยจังหวะและโอกาสทันที เพื่อที่จะทำคะแนนให้ได้ด้วยการบุกโจมตีใส่คู่ต่อสู้เมื่อคู่ต่อสู้พลาดมา
วิธีการเล่น Tractic นี้ก็คือ
A. หลังจากเป็นฝ่ายเสริฟแล้ว หากบุกคู่ต่อสู้ไม่ได้ ก็เป็นฝ่ายเล่นลูกตัด โดยให้เป็นลูกสั้นกระดอนอยู่ในโต๊ะตลอดเวลา จนกว่าจะมีจังหวะ จึงค่อยบุกทันที
B. เมื่อเป็นฝ่ายรับลูกเสริฟ(ในกรณีฝ่ายเสริฟเสริฟมาสั้น)  ให้รับลูกเสริฟกลับไปให้เป็นลูกสั้น  และเล่นลูกสั้นกระดอนอยู่ในโต๊ะตลอดเวลา จนกว่าจะมีจังหวะบุก จึงค่อยบุกทันที


TRACTIC ที่ 2    วางลูกไปยังจุดอ่อนของคู่ต่อสู้
ในเกมส์การแข่งขัน เมื่อเราค้นพบข้อบกพร่องของคู่ต่อสู้ที่เปิดเผยให้เราเห็น  กลยุทธ์ง่ายๆ และได้ผลก็คือ การวางลูกต่างๆ  ไปยังจุดอ่อนของคู่สู้  และ ค่อยโจมตีในลูกถัดไป  หรือหากโชคดีคู่ต่อสู้ก็อาจจะตีลูกเสียไปเอง
เช่น  คู่ต่อสู้เล่นลูกด้านโฟร์แฮนด์ไม่เป็น ไม่มีประสิทธิ์ภาพ ฯลฯ  เราก็วางลูกไปยังด้านที่เป็นจุดอ่อน เพื่อรอโจมตีให้ลูกต่อไป  ซึ่งกรณีนี้เราอาจจะวางลูกยาวๆ เข้าไปยังโฟร์แฮนด์ คู่ต่อสู้เมื่อขาดความมั่นใจ แทนที่บูกด้วยโฟร์แฮนด์มายังเรา อาจจะไม่รู้จะแก้ไขสถานะการณ์อย่างไร จึงตัดลูกกลับมา ซึ่งลูกที่ตัดมานี้ จะทำให้เราเปิดเกมส์บุกเพื่อทำคะแนนได้อย่างง่ายดาย  ( หมายเหตุ  เหตุการณ์เป็นเพียงการยกตัวอย่างให้เห็นภาพเท่านั้น )  


TRACTIC ที่ 3    วางลูกไปยังจุดแข็งของคู่ต่อสู้ เพื่อให้เข้าทางการเล่น(จุดแข็ง)ของเรา 
ในทำนองเดียวกันเมื่อเราค้นพบจุดเด่นของคู่ต่อสู้  แต่ในเมื่อเรามีฝีมือที่เหนือกว่า  เราก็สามารถที่จะกำหนดให้คู่ต่อสู้ตีลูกมาเพื่อให้เราสามารถใช้จุดเด่นของเราทำคะแนนได้เช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น  คู่ต่อสู้ถนัดการบุกด้านโฟร์แฮนด์  เราจึงวางลูกเข้าโฟร์แฮนด์เพื่อให้คู่ต่อสู้บุกมา  แต่จริงๆ แล้วเรากำลังรอที่จะบุกสวนกลับ เพื่อทำคะแนนกลับอยู่   หรือ รอบล๊อกกลับเพื่อทำคะแนนให้ได้อย่างง่ายดาย    แต่นั่น......หมายถึงเราเป็นได้มีการฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดีทุกรูปแบบแล้วเท่าน้้นนะครับ 

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

วิธีตีลูกปิงปองที่เด้งอยู่ในโต๊ะ


ลูกปิงปองที่เด้งอยู่ภายในโต๊ะปิงปอง  หมายถึง  ลูกปิงปองที่คู่ต่อสู้ตีมาหาเรา โดยที่ลูกปิงปองจะเด้งอยู่ในโต๊ะ ไม่เด้งพ้นโต๊ะออกมา หรือที่เรียกในภาษาปิงปองว่า "ลูกสั้น" รวมทั้งลูกที่เลียดๆ เน็ต หรือ ลูกที่โด่ง  ซึ่งก็แล้วแต่ว่าเราจะตัดสินใจในการตีออกไปอย่างไร  ซึ่งมีเบสิคที่จะต้องฝึกตีกลับไป 4 ประการ  ดังนี้

เบสิคที่ 1.  ตีด้วยลูกตัด(ใต้ลูก)กลับไป
วิธีการฝึก
1.  ต้องมั่นใจว่าลูกที่คู่ต่อสู้ตีมาเป็นลูกสั้น
2.  เข้าไปตีลูกในจังหวะที่ลูกกำลังลอยขึ้น ก่อนถึงจังหวะสูงสุด
3.  ฝึกตีลูกสั้นกลับไปหาคู่ต่อสู้  และ
4.  ฝึกตีลูกยาวและพุ่งกลับไปหาคู่ต่อสู้
5.  ฝึกตีลูกให้เลียดเน็ตทุกลูก





 เบสิคที่ 2.  ตีด้วยลูกตัดข้างลูก(ปาด)กลับไป
วิธีการฝึก    
วิธีเช่นเดียวกับการฝึกเบสิคที่ 1   แต่เปลี่ยนจากการตีใต้ลูกเป็นการตีข้างลูกแทน  ซึ่งควรจะฝึกตีทั้งด้านแบ๊คแฮนด์และโฟร์แฮนด์




 เบสิคที่ 3.  ตีด้วยลูกเขี่ยกลับไป
วิธีการฝึก     
1. เปิดหน้าไม้ในขณะที่เข้าไปตีลูก
2. ตีลูกในจังหวะที่ลูกลอยขึ้นสูงสุด ถึงกำลังตกลงนิดหน่อย
3. หลังจากตีลูกออกไปแล้ว ให้ปิดหน้าไม้ทันที 

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

2. การรับลูกเสริฟ RETURN

แน่นอน  ในทุกๆ การเล่นปิงปองจะต้องมีการรับลูกเสริฟ  ซึ่งในระดับแข่งขันแล้วเราจะต้องฝึกการรับลูกเสริฟให้ชำนาญด้วยเช่นกัน เพราะการรับลูกเสริฟนั้น จะต้องพยายามรับโดยไม่ให้ตกเป็นรองต่อฝ่ายเสริฟ  แต่จะต้องทำให้เรากลับเป็นฝ่ายได้เปรียบขึ้นมาให้ได้ด้วย  ซึ่งมีหลักในการฝึกการรับลูกเสริฟที่สำคัญๆ ดังต่อไปนี้

1.  จะต้องอ่านความหมุนของลูกเสริฟที่คู่ต่อสู้เสริฟมาให้ออก
ดังที่ทราบกันมาแล้วว่า หากลูกเสริฟมีความหลากหลายความหมุน ย่อมสร้างความสับสนให้กับฝ่ายรับลูกเสริฟได้  ดังนั้นฝ่ายรับลูกเสริฟจะต้องอ่านลูกเสริฟให้ออกให้ได้  ซึ่งการอ่าน..... ก็ต้องใช้สายตาของเราในการอ่าน  ดังนั้นลูกเสริฟที่ฝ่ายเสริฟเสริฟมาหาเรา  เราจะต้องใช้สายตาดูลูกปิงปองต้องแต่คู่ต่อสู้โยนลูกปิงปองออกจากอุ้งมือของเขา เพราะเขาอาจจะโยนสูงบ้าง , ต่ำบ้าง  จากนั้นจะต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษในขณะที่ลูกปิงปองกระทบหน้าไม้  เพราะจังหวะนี้แหละจะทำให้เราอ่านความหมุนของลูกเสริฟฝ่ายตรงข้ามออกได้
โดยทั่วไป เมื่อหน้าไม้ถูกลูกปิงปองบริเวณต่างๆ จะให้ความหมุนดังต่อไปนี้
-  เมื่อหน้าไม้ถูกใต้ลูกปิงปอง  ลูกเสริฟจะเป็นลูกหนัก หรือ ความหมุนแบบ Back spin เมื่อรับลูกเสริฟ ลูกจะติดเน็ต
-  เมื่อหน้าไม้ถูกด้านข้างของลูกปิงปอง  ลูกเสริฟจะเป็นลูกหมุนด้านข้าง หรือ ลูก Side spin  เมื่อรับลูกเสริฟ ลูกจะออกด้านข้างโต๊ะ (อาจจะด้านซ้ายหรือขวาของโต๊ะ)
-  เมื่อหน้าไม้ลูกตรงกลางระหว่างใต้ลูกปิงปอง กับ ด้านข้างของลูกปิงปอง  เมื่อรับลูกปิงปอง มีโอกาสที่ลูกจะทั้งติดเน็ตและ ออกด้านข้าง
-  เมื่อหน้าไม้ถูกด้านบนของลูกปิงปอง  ลูกจะหมุนแบบพุ่งไปข้างหน้ามาหาเรา  เมื่อรับลูกเสริฟ ลูกปิงปองก็จะพุ่งไปข้างหน้า ซึ่งผู้เสริฟส่วนใหญ่จะใช้ในจังหวะที่เราเผลอ ยืนผิดมุมรับลูกเสริฟ  หรือ ผู้เสริฟอาจจะเสริฟมาให้เราเสียหลัก เมื่อรับกลับไปก็จะถูกฝ่ายเสริฟโจมตีกลับมาในลูกต่อไป
-  เมื่อหน้าไม้มีการผสมความหมุนเกิดขึ้น  ลูกเสริฟลักษณะแบบนี้จะเกิดความหมุนได้หลากหลายความหมุนขึ้นได้  ผู้เสริฟอาจจะมีการสบัดหน้าไม้ หรือ พลิกหน้าไม้หลอกฝ่ายรับลูกเสริฟให้เกิดความสับสนและตัดสินใจรับลูกเสริฟผิดพลาดขึ้นได้  ดังนั้นฝ่ายรับลูกเสริฟจะต้องเพิ่มความสังเกตและมีสมาธิในขณะที่จ้องมองลูกเสริฟให้มากยิ่งขึ้น
ดังนั้น การฝึกรับลูกเสริฟจึงมีความสำคัญมากในการนำไปใช้ในเกมส์การแข่งขันเช่นกัน  วิธีการจะทำให้เราอ่านความหมุนลูกเสริฟให้ออก เราจึงต้องฝึกรับลูกเสริฟ  โดยมีสมาธิ จ้องมองลูกปิงปองในขณะที่ลูกกระทบหน้าไม้  โดยฝึกรับซ้ำแล้วซ้ำอีก  ซึ่งก็ต้องฝึกรับกับนักกีฬาที่มีความชำนาญในการเสริฟโดยเฉพาะ  ซึ่งก็แน่นอนว่า ผู้ฝึกสอนก็จะต้องฝึกนักกีฬาในทีมให้เก่งในการเสริฟให้ได้ทุกๆ คน  เพื่อที่จะได้ฝึกการรับลูกเสริฟให้เก่งได้ทุกๆ คน เช่นเดียวกัน


2.  อ่านทิศทางที่ลูกเสริฟพุ่งมาหาเรา
ซึ่งนักกีฬาก็จะต้องอ่านที่มุมของหน้าไม้คู่ต่อสู้อีกเช่นกันว่ามีมุมของการเสริฟลูกออกจากหน้าไม้มาในทิศทางใด  ซึ่งโดยปกติแล้ว ทิศทางของลูกเสริฟ จะมีทั้งทิศทางตรงเข้ามาหาตัวเรา  และ ทิศทางมาทางด้านซ้าย หรือ ด้านขวา ของเรา  โดยลูกปิงปองจะมีจุดตก 3 ตำแหน่ง คือ 1. ลูกสั้นในโต๊ะ  2. ลูกตกปลายโต๊ะพอดี  และ  3. ลูกพุ่งพ้นนอกโต๊ะออกมา 


3.  วิธีการรับลูกเสริฟ
เมื่ออ่านทั้งความหมุนของลูกเสริฟ และ ทิศทางของลูกเสริฟที่ีมาหาเราได้ออกแล้ว  ต่อไปก็จะเป็นวิธีการรับลูกเสริฟ  ซึ่งมีวิธีการรับตามลักษณะของลูกปิงปองที่ถูกเสริฟออกมาดังต่อไปนี้
3.1  เมื่อลูกเสริฟ ถูกเสริฟพ้นโต๊ะปิงปองออกมา ให้ใช้ลูก TOP SPIN ในการรับลูกเสริฟทันที ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเสริฟมาด้วยความหมุนแบบใด หากลูกเสริฟมาด้านโฟร์แฮนด์ตรงๆ ก็ให้ใช้โฟร์แฮนด์รับลูกเสริฟด้วย TOP SPIN กลับไปทันที  แต่หากลูกเสริฟพุ่งออกนอกโต๊ะ มีทิศทางพุ่งเข้าหาตัวเรา ให้ฉากตัวเล็กน้อยและ ใช้ด้านโฟร์แฮนด์ TOP SPIN กลับไป และหากลูกเสริฟพุ่งออกนอกโต๊ะ มาทางด้านแบ๊คแฮนด์ จะฉากตัวใช้ด้านโฟร์แฮนด์ตีลูก TOP SPIN กลับไป  หรือหากมีการฝึกด้านแบ๊คแฮนด์ TOP SPIN เอาไว้ใช้ในการรับลูกเสริฟไว้เป็นกรณีพิเศษ ก็จะยิ่งทำให้มีอาวุธไว้ใช้ในการรับลูกเสริฟที่พ้นโต๊ะออกมาได้ครบเครื่องมากยิ่งขึ้น
   
3.2  เมื่อลูกเสริฟ ถูกเสริฟมาเป็นลูกสั้น  ให้ตัดสินใจใช้วิธีการรับลูกเสริฟวิธิการใด วิธีการหนึ่ง ดังนี้
1.  รับลูกเสริฟด้วยการเขี่ยลูก กลับไป

 หมายเหตุ  
1.  การฝึกเขียลูกนี้ นอกจากจะนำมาใช้ในการรับลูกเสริฟที่มาสั้นได้แล้ว  เรายังสามารถใช้ลูกเขียในจังหวะอื่นๆ ที่ลูกปิงปองกระดอนสั้นๆ อยู่ในโต๊ะปิงปองก็ได้เช่นกัน
2.  จังหวะในการตีลูก ให้ตีลูกในจังหวะสูงลอยขึ้นสูงสุดและตกลงจากจุดสูงสุดเล็กน้อย


2.  รับลูกเสริฟด้วยการตีลูกตัดใต้ลูก หรือ ตัดข้างลูก กลับไป

 หมายเหตุ  
1.  จังหวะในการตี จะต้องตีลูกในจังหวะที่ลูกปิงปองกำลังลอยขึ้น ก่อนถึงจังหวะสูงสุด
2.  พยายามรับลูกเสริฟให้เป็นลูกสั้นกลับไป เพื่อป้องกันไม่ให้คู่ต่อสู้บุกในลูกต่อไป
3.  หน้าไม้ในขณะสัมผัสลูก ผู้เล่นควรจะฝึกสัมผัสที่บริเวณใต้ลูกตรงๆ และ สัมผัสบริเวณใต้ลูกแต่ด้านข้างๆ ของลูกก็ได้ ซึ่งควรจะฝึกให้ได้ทั้งสองแบบเพื่อความหลากหลายในการรับลูกเสริฟใต้ลูกที่ตีได้หลากหลายยิ่งขึ้น


3.3  เมื่อลูกเสริฟ ถูกเสริฟให้มาตกขอบโต๊ะพอดี   .ลูกเสริฟลักษณะเช่นนี้จะทำให้ยากในการตัดสินใจว่าจะรับลูกเสริฟด้วยวิธีใดดี  จึงต้องอาศัยประสบการณ์ของผู้เล่นในการช่วยตัดสินใจ  เพราะบางลูกหากลูกเสริฟพ้นโต๊ะออกมาเล็กน้อยก็ต้องรับลูกเสริฟด้วยการใช้ลูก Top spin กลับไป  ดังนั้นเมื่อตัดสินใจจะใช้วิธีใดแล้วต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด อย่าพะว้าพะวง หรือกลับใจ เปลี่ยนใจ เพราะจะทำให้เรารับลูกเสริฟเสียไปเอง หรือรับกลับไปได้ไม่ดี  ซึ่งฝ่ายรับลูกเสริฟก็จะต้องคอยแก้ปัญหาต่อไป